Saturday, November 24, 2012

วัวรอบพิเศษ

  วัวรอบพิเศษ
    เสียงกลองตุ้ง ๆ ดังขึ้นเป็นสัญญาณให้นำวัวเข้าสู่สนาม...
   
ที่สุดของการเตรียมวัวชน นับตั้งแต่การคัดสรรให้ได้มาซึ่งวัวดี เลี้ยงดู อยู่บำรุงประคบประหงม ซ้อมชน และติดคู่ชน ก็คือวันที่ทำการชนวันนี้ เพราะเป็นวันที่จะพิสูจน์ ตรวจสอบว่าสิ่งที่เจ้าของวัวแต่ละคนคิด เชื่อและคาดหวังนั้นเป็นจริงเพียงใด--
   
เกมของนักเลง เกมของคนไม่ยอมถูกเอาเปรียบ ที่เต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ เกมของคนไม่ยอมแพ้ จะออกมาในรูปใด
   
เมื่อโฆษกสนามให้สัญญาณกลองอีกครั้ง เจ้าของวัวแต่ละฝ่าย ทำการเช็ดล้างวัวของตัว เพื่อขจัดสิ่งแปลกปลอมที่อาจจะทำให้เกิดการได้เปรียบกัน แล้วตามด้วยกรรมการกลางของสนาม จะเช็ดล้างบริเวณใบหน้า ลำคอ โคนเขา ซอกหู ตลอดไปถึงคร่อมส่วนหน้าเป็นครั้งที่ ๒ โดยต่างฝ่ายต่างก็ส่งตัวแทน ไปควบคุมการเช็ดล้างของกรรมการด้วย เพื่อป้องกันการลำเอียงที่อาจจะเกิดขึ้น และก็มีสิทธิ์ทักท้วง จนกระทั่งเป็นที่พอใจกันทั้งสองฝ่าย
   
กรณีที่เป็นการชนกันระหว่างวัวคู่สำคัญ โดยเฉพาะคู่วัวที่มีเดิมพันตั้งแต่ ๑ ล้านบาทขึ้นไป นอกจากจะกระทำตามขั้นตอนดังกล่าวแล้ว ยังมีการปันน้ำกลางที่ผสมผงซักฟอก จากทางสนาม เพื่อเช็ดล้างครั้งสุดท้ายอีกด้วย หลังจากที่มาตรการต่าง ๆ ได้ถูกนำมาเพื่อตรวจสอบ และขจัดสิ่งแปลกปลอม จนถึงขั้นสุดท้ายก่อนที่จะวางวัวให้ชนกันคือ การใช้ทรายลูบปลายเขา เพราะที่ปลายเขาของวัวบางตัวอาจเคลือบ ทา หรือใช้มีดกรีดปลายเขาให้เป็นร่องเล็ก ๆ แล้วใส่ของมีพิษ หรือสารที่สร้างความแสบร้อน กรณีนี้ทรายจะช่วยป้องกันได้ดีที่สุด
   
จากนั้นจึงเอากล้วยสุกละเลงทั่วบริเวณหน้า กกหู โคนเขา และลำคอวัว กลบกลิ่นสาบของฝ่ายตรงข้าม เพราะนัยว่าวัวหนุ่มจะเกรงวัวแก่ คู่ชนแต่ละคู่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่า วัวของอีกฝ่ายอายุเท่าไร่ ก็เลยทากลบกลิ่นเป็นการป้องกันเสียก่อน เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จูงวัวมาต่อหัวกันกลางสนาม...
      วัวคู่สำคัญ อัฒจันทร์ผู้ชมชั้นที่ ๑ ของสังเวียนวัวยวนแหล คนแออัดกันแทบจะปริ ควันบุหรี่คละคลุ้งไม่หยุด เช่นเดียวกับการต่อรองที่แสดงผ่านการกวักมือ โบกมือ แบมือ เจ้าของวัวเกือบทั้งหมดมารวมอยู่ในสนามทางฝั่งชั้นที่ ๑ นอกจากนี้ยังมี นักเลงระดับนายหัว พ่อค้า นักธุรกิจ เจ้าของนากุ้ง เจ้ามือหวยใต้ดิน แม้แต่ข้าราชการ ทั้งนักพนันอาชีพ และสมัครเล่นมาพบปะกันโดยมิได้นัดหมาย พวกเขาแทบไม่ต้องพูดจากัน แต่สัญญาเกิดได้เพียงแค่สัญญาณมือ กับบัญชีหางว่าว ที่ตัวเองเขียนขึ้นว่าต่อรอง ออกตัวไว้กับใครบ้าง เขาพูดจากันด้วยภาษามือกับเงินสด ๆ เท่านั้น ไม่มีเครดิต เช็ค คนไม่มีเงินสดในมือ จึงถูกสกัดกั้นไม่ให้เข้าบ่อนโดยปริยาย
    อัฒจันทร์ชั้น ๒ ด้านตรงกันข้ามเป็นของเซียนท้องถิ่น คนขับรถ ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป เยาวชนที่ติดตามผู้ใหญ่เข้าไปเชียร์วัว หรือมีความชื่นชอบทางด้านนี้ก็มาก ตามความจริงคนดูชั้น ๑ และ ๒ ยังมีการแบ่งกลุ่มภายในโดยปริยาย ด้วยเม็ดเงินที่ทุ่มแทงในการเล่นพนัน -- มุมเงินล้าน, มุมเงินแสน กลุ่มใครกลุ่มมัน ภาษาที่ใช้ในการพนันขันต่อก็ผิดแผกกันในด้าน
    ความนัยของหลักตัวเงิน "สิบ" ในกลุ่มหนึ่งหมายถึง "พัน" แต่อีกมุมหมายถึง "แสน"
    ขณะที่พวกหนึ่งกำลังดูวัวชน อย่างเคร่งเครียด ภายในสนามอีกมุมหนึ่งมีการเลี้ยงเหล้าเบียร์ หมูเห็ดเป็ดไก่ เหมือนเลี้ยงโต๊ะจีน บรรยากาศชื่นมื่นจนน่าประหลาดใจ กลุ่มหนึ่งอาจเป็นเจ้าของวัวรวมทั้งญาติพี่น้องจากตำบลเดียวกัน เลี้ยงฉลองที่เอาชนะเดิมพัน และปลอบใจคนแพ้ กลุ่มหนึ่งอาจเป็นของฝ่ายจัดการสนาม กลุ่มนายหัวเลี้ยงเพื่อนฝูง คนในอุปถัมภ์ ตาม "โต๊ะจีน" เหล่านี้ นายสนาม ผู้จัดการสนาม หรือประธานกรรมการชี้ขาดของสนาม จะแวะเวียนเข้าไปดูแล
    ผู้ที่เข้าไปเล่นพนันในบ่อน บางครั้งไม่ได้เข้าไปเพียงเพื่อเล่นการพนันอย่างเดียว การพนันอาจเป็นเหตุผลรองลงมา เนื่องจากผู้ชมชอบวัวชนในสายเลือด และได้รับขนานนามว่า นักเลงวัวจะมีความภูมิใจ มันหมายถึง พรรคพวก ใจกว้าง มีเพื่อนในแทบทุกวงการ บ่อนวัวจึงเป็นสถานที่ซึ่งนักเลงเข้าไปพบปะสังสรรค์กัน การพนันกลายเป็นสื่อ ให้เกิดความสนิทสนมกลมเกลียวในระดับหนึ่ง ที่แต่ละคนจะรู้ตำแหน่งแห่งที่ของตนในสนามอย่างชัดเจน
    มีความเป็นไปได้ที่จะกล่าวว่า เมื่อเริ่มแรกบริเวณรอบ ๆ บ่อนชนวัวจะต้องเป็นที่ว่างเปล่าจำนวนนับสิบ ๆ ไร่ แต่ด้วยพลังอำนาจของบ่อน ที่สามารถสร้างงานอาชีพ และรายได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมจำนวนไม่น้อย ได้ทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาตั้งถิ่นฐานรอบ ๆ บ่อนในเวลาต่อมา
    ครั้งหนึ่งสนามวัวเคยถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในการเชื่อมโยงกลุ่มผลประโยชน์เข้าด้วยกัน เพื่อโยงใยไปหาประโยชน์แอบแฝงอีกทอดหนึ่ง มากกว่าที่จะหาประโยชน์จากการจัดชนวัว นายสนามและผู้ดำเนินการ อาจไม่มีกำไรจากการชนวัว เนื่องจากผู้ชมชั้น ๑ ล้วนแต่เป็นที่ผู้อุปถัมภ์บ่อน -- นายอำเภอ ปลัดอำเภอ เจ้าของวัว เม็ดเงินที่ทางสนามได้รับจริง ๆ มาจากคนดูชั้นสอง แต่จำนวน และสถานภาพคนดูชั้น ๑ เป็นบารมีของนายบ่อนให้เป็นที่นับหน้าถือตา มีชื่อเสียงบารมี มวลชนเหล่านั้น จะเป็นฐานเสียงทางการเมืองในระดับหนึ่ง
    เป็นที่รู้กันว่านักการเมืองระดับชาติหลายคน เริ่มต้นด้วยฐานคะแนนเสียง จากแวดวงวัวชน ปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันสนามวัว ถูกนำใช้ไปในฐานะที่เป็นอาชีพ หรือหารายได้ในเชิงธุรกิจมากขึ้น
    วัวดีมีชื่อเสียงโด่งดัง แสดงถึงความสามารถ และบารมีของนายสนามเป็นสำคัญ กล่าวคือ นายสนามจะต้องเป็นผู้ที่สังคมวัวชนเชื่อถือ และไว้วางใจสูง มีเพื่อนฝูงที่คอยให้ความช่วยเหลือ ขอร้องเจ้าของวัวชนที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก และที่สำคัญคือ จะต้องมีเครดิต ที่จะรองรับเรื่องเงินเดิมพันของวัวบางตัว ที่มีไม่เพียงพอ เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งต้องการจะชนด้วยเงินเดิมพันจำนวนมาก เช่น ถ้าโคโหนด ก. ต้องการจะชนในวงเงินเดิมพัน ๑ ล้านบาท ขณะที่โคแดง ข. รับได้เพียง ๗ แสนบาท แสดงว่าอีก ๓ แสนที่ขาดไป นายสนามจะต้องบริหารจัดการมาเติมจนเต็ม วัวคู่พิเศษจึงจะได้ชน เป็นต้น
........................................................
      วัวชนไม่อาจรู้คุณค่าความหมายที่แท้ของการฉลองชัย แต่ตามธรรมเนียมผู้ชนะ ต้องมีผ้าคล้องคอ ปลอกเขา หรือเสื้อสามารถ ส่วนผู้แพ้ ถ้าเป็นวัวที่ชนครั้งแรก จะเสี่ยง ๕๐/๕๐ ที่จะถูกส่งไปอยู่บนเขียงเนื้อ หรือเลี้ยงต่อไปชนครั้งที่ ๒ การแพ้ของวัวที่ชนมานานหกเจ็ดครั้ง จะถูกปรนนิบัติในสองลักษณะ หนึ่ง - ปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติในแปลงหญ้า เป็นพ่อพันธุ์จนสิ้นอายุขัย สอง - เสี่ยงให้ชนดูอีกสักครั้ง เพราะวัวพรรค์นี้ ถือว่ามีน้ำอดน้ำทนใช้ได้ ที่แพ้อาจเพราะแพ้ทางก็เป็นได้
    พอขายแล้วชาวบ้านจะมองหาลูกวัวตัวใหม่ที่มีแววต่อไป
    วัวโหนดนำโชคเป็นวัวที่แทงดีฝี เขาจัดจ้าน แต่มันไม่เคยชนนาน ๆ เพราะคู่ต่อสู้เจ็บ และยอมแพ้ไปก่อนเสียทุกครั้ง เหมือนนักมวยไม่เคยชกมากยก เมื่อมาเจอวัวโคขาวเพชฌฆาต ซึ่งเขาไม่ได้ยาวนัก แต่โครงสร้างร่างกายแข็งแรง คร่อมอกใหญ่เลยแพ้ทางชนกัน เมื่อมันหันหลังวิ่งลุงดำโบกมือขอไม่ "เกียดวัว" ด้วยการเอาไม้ยาว ๆ ไปไล่ให้มันสู้ต่อ แกเคยบอกไว้ว่า ตามสายตาของคนดู การเกียดวัวน่าจะเป็นสิ่งน่าสมเพชที่สุดของเกมชนวัว
    ส่วนไอ้นิลก็ชนะในลักษณะที่ไอ้ โหนดแพ้นั่นละ แบบที่ครูจุ๋มพูดไว้ "ไอ้นิลไม่ต้องทำอะไรมาก เลี้ยวกินข้าง ๆ แล้วขึ้นคร่อมอยู่ข้างบนด้วยน้ำหนักตัว ๗๐๐ กว่ากิโลกรัมโถมขึ้นทับทำให้อีกตัวต้องยก "รื้อ" ด้วยพละกำลังทั้งหมด มันก็หมดเรี่ยวแรงแพ้ไปเอง
    วัวแพ้ ลุงดำและลูกน้องไม่มีคำโอดครวญ หาเหตุจากการพ่ายแพ้ต่อกัน ถ้าแม้นมีอยู่ก็เป็นเพียงพูดตัดพ้อ หยอกล้อด้วยเสียงหัวเราะแค่น ๆ ระหว่างแกกับเด็กที่ช่วยเลี้ยงวัว ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งเท่านั้น ลงท้ายด้วยวลีที่ให้กำลังใจว่า "ไม่พลือ...เอาใหม่" ไม่ยอมแพ้
    ไอ้โหนดที่มันวิ่งรอบสนาม ลุงดำก็ตามเอาเชือกจูงวัวโยนใส่ให้มันด้วยแววตาห่วงใย แสดงสัมพันธภาพอันลึกซึ้ง ไม่แผกต่างจากตอนที่แกเชียร์.... จนหายตื่นแล้วจึงเข้าจับเทียนที่จมูกของมัน

0 comments:

Post a Comment