ค่ายพักวัว
ภายในค่ายพักวัวคือพื้นที่แห่งความ "สดและสาบ" กลิ่นของวัว ขี้วัวและหญ้าสด ๆ เคล้าคละปะปนกัน กระต๊อบที่ปลูกสร้างติด ๆ กันเป็นห้องแถวของวัวดูทรุดโทรมไปบ้างในสายตาคนภายนอก เพราะสภาพเก่าคร่ำของมัน บวกกับความไม่ใส่ใจดูแลตัวเองของเด็กเลี้ยงวัว แต่บริการสำหรับวัวชนแต่ละตัว ต้องบอกว่า...ทุกระดับประทับใจ
ยามเย็นหลังจากอาบน้ำลงขมิ้นให้วัว พวกเขาจะสุมไฟไล่เหลือบยุงให้หุ้นส่วนชีวิต ขณะปล่อยให้มันกินหญ้าจากกระบะ (บางคนคอยป้อนหญ้าให้) วัวทุกตัวมีมุ้งตาข่ายขนาดใหญ่เป็นของตัวเองภายในกระต๊อบ ขี้ เยี่ยวก็มีคนคอยรอง หรือเก็บกวาดเสมอ เด็กเลี้ยงวัวพูดว่า "วัวต้องออกเดิน กินและอาบน้ำครบถ้วน แต่ผมเองอาจไม่ครบ...ไม่จำเป็นต้องครบ"
ผ่านไปตามโรงเรือนเกือบทุกแห่ง จะเห็นมะพร้าวกองสุม เจ้าของวัวว่าน้ำมะพร้าวอ่อน เป็นอาหารบำรุงกำลังวัวชน นอกจากนี้มันยังได้อาหารเสริมเป็นไข่ไก่ และถั่วเขียวต้ม โดยนักโภชนาการยังไม่มั่นใจว่า ไข่ไก่สดจะมีผลทางสร้างสรรค์อย่างไร ต่อสัตว์เคี้ยวเอื้อง บางคนเพิ่มความแข็งแกร่งภายในด้วยแคลเซียม ฉีดยาบำรุง ถ่ายพยาธิ ให้น้ำเกลือบ้างกรณีที่อากาศร้อนจัด
เกี่ยวกับสารกระตุ้นประเภทสเตรียรอยด์ เป็นเพียงข่าวที่ไม่ได้รับการยืนยัน เพราะผู้เลี้ยงวัวระดับชาวบ้าน ไม่มีความรู้ว่าจะให้อย่างไร ปริมาณเท่าไร จึงกลัวสารตกค้างทำให้เสียวัวไปมากกว่า จะมีบ้างก็แต่สิ่งสารออกฤทธิ์เร็ว ที่คนกินได้ เช่น เหล้าขาว เครื่องดื่มบำรุงกำลัง แต่สำหรับคนที่แน่ใจว่าวัวตัวเองสู้ จะไม่ให้กินของพวกนี้เลย
กลางคืนจะมีเด็กเลี้ยงวัว หรือเจ้าของอย่างน้อยหนึ่งคน นอนเฝ้าวัวอยู่ข้าง ๆ ตลอดคืน พวกที่เหลือจะจับกลุ่มคุยกันอยู่ตรงนอกชาน เฝ้าระวังไม่ให้คนเข้ามาวางยา หรือกระทำการใด ๆ ให้วัวผิดปรกติจนพ่ายแพ้การแข่งขัน ยิ่งใกล้วันแข่งขัน บรรยากาศภายในค่ายก็ยิ่งเคร่งเครียดและเข้มงวด
คนเฝ้ายามอดนอนหัวกระเซิงเหมือนผีดิบ
"นักเลงวัวอย่างน้อยต้องไม่แพ้เพราะเพื่อนเอาเปรียบ ไม่คลางแคลงใจว่าเสียรู้คนอื่น" (เสียสตางค์บางทีไม่เท่าไหร่) ชายคนหนึ่งพูดนัยน์ตาเขม็ง "เบื่อวัวทำได้หลายแบบ เช่นสมัยก่อนเอาตะปูเข็มตอกตรึงบริเวณโคนเขาให้วัวรู้สึกเสียวและเจ็บปวด เอาของยัดใส่เข้าในรูหู หรือตำพืชสมุนไพรบางชนิดให้กินแล้วท้องอืดท้องร่วง เดี๋ยวนี้อาจเอายานอนหลับใส่กล้วยโยนให้กินตอนเจ้าของเผลอ หรือยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ปริมาณที่ไม่ถึงกับทำให้ตาย แค่มึนเมาเศร้าซึมผิดปรกติ
"สังเกตดูได้วัวจะขาสั่น ไม่มีแรง พอปล่อยชนก็หันหลังวิ่ง"
นี่คือสาเหตุที่ผู้เลี้ยงวัว จะต้องทำรั้วพร้อมกับขึ้นป้ายประกาศเป็นเขตหวงห้าม ต้องมีคนคอยเฝ้าโรงเรือนอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับหมาดุ ๆ กับการเลือกตัดหญ้าแบบไม่ซ้ำที่ ในเมื่อกระทำการต่อฝ่ายตรงข้าม ต้องฝ่าแนวป้องกันหลายชั้น แนวโน้มของผู้เห็นแก่เงิน จึงมุ่งไปในทางกระทำกับวัวตัวเองมากกว่า บางคนซุ่มให้วัวกินหญ้าจนอ้วนพี ไม่ตากแดด ไม่นำออกเดิน วัวจึงไม่แข็งแกร่งพอจะสู้ เรียกว่า "บ่มวัว" บางคนก็กลั่นแกล้งวัวของตน ให้ได้รับความเจ็บปวดทรมาน หรือให้วัวต้องตรากตรำก่อนวันชน โดยไม่ให้พักผ่อนเลย กรณีนี้มักจะทำกับวัวตัวที่เป็นต่อมาก ๆ จากนั้นเจ้าของวัว ก็ให้พวกพ้องตัว แอบไปเล่นพนันวัวอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นวัวรองด้วยเงินมาก ๆ แต่บางครั้งผลการต่อสู้ก็อาจกลับตาลปัตรได้ คือวัวที่เคยชนชนะบ่อย ๆ มักมีศักดิ์ศรีของผู้ชนะ และจิตใจนักสู้อยู่เหมือนกัน มันกลับสู้ยอมตายถวายชีวิต จนเป็นฝ่ายชนะทำให้เจ้าของวัว ต้องประสบกับความหายนะไปก็มาก
คนจำพวกนี้ในวงการวัวชน ถือว่าไม่มีจิตใจเป็นนักเลง ไม่มีน้ำใจนักกีฬา จะถูกสังคมนี้อัปเปหิไม่คบค้าสมาคม และเล่นพนันด้วย และที่สำคัญก็คือเสี่ยงต่อการถูกเล่นงาน จากฝ่ายจัดการของสนาม เพราะทำให้นายสนามขาดความเชื่อถือ ในการบริหารจัดการ จนกระทบต่อการดำเนินการในเชิงธุรกิจการแข่งขัน
นักเลงวัวยืนยันว่า "ถ้าบ่อนไหนมีการต้มวัว คนจะไม่เข้าจนร้างไปเอง"
รุ่งเช้า เนื้อที่บริเวณรอบ ๆ กว่า ๑๐ ไร่ แลดูคล้ายตลาดวัวควายกำลังเริ่มติดตลาด พี่เลี้ยงจูงวัวออกเดินขวักไขว่ทั้งเข้าและออก หลังจากเดินวัวตามเป้าหมายแล้ว พวกเขามักไปนั่งชุมนุมกันในร้านน้ำชา กลายเป็น "ชุมทางวัวชน" ริมทาง
นอกจากเจ้าของวัว ในร้านอาจมีอดีตเจ้าของวัว นายหัว นักพนัน นั่งพูดคุย ถามผลวัวชนเมื่อวาน เหมือนผู้ชายออฟฟิศคุยถึงผลฟุตบอล ยุแหย่กันฉันคนที่รักการเสี่ยงด้วยกัน แม้บางคนไม่คุ้นเคยเป็นการส่วนตัว แต่อย่างน้อยก็คุ้นหน้า (ในวงการ) เมื่อได้นั่งฟังจับสังเกตนานเข้า จะพบว่า แต่ละคนต่างก็มีวัวดีของตัวให้พูดถึง ในอดีตพวกเขาเคยเป็นเจ้าของวัวดัง เคยชน ๒ แสนกันมาแล้ว ขณะที่คุย
สายตาของวงสนทนา ณ ร้านน้ำชามักจะพุ่งตรงไปรวมศูนย์อยู่ที่วัวซึ่งผูกเรียงรายอยู่ในคอก
การพูดคุยวิเคราะห์วิจารณ์มักจะเริ่มต้นด้วยคำว่า "ถ้า" ในแทบทุกประโยค "ถ้าตัวนั้นแทงติดก่อนก็จะเป็นฝ่ายชนะ"
"ถ้าตัวโน้นชนได้นานถึง ๑๐ นาทีขึ้นไปก็จะชนะลูกเดียว"
หรือ "ถ้าตัวนั้นกินเพลียงไม่ได้ก็จะเป็นตัวแพ้"
ในบางครั้งการสนทนาด้วยมุมมองที่แตกต่างระหว่างคู่คุย ก็จะนำไปสู่การตกลงพนันขันต่อกันล่วงหน้าก็มี อย่างไรก็ดี เหมือนที่คนบอกว่าในวงการพนัน "จะมีคนซื่อตรงได้เพียงแค่แมวนอน" เท่านั้น -- ก็คือการพูดจานั้น ไม่ได้เสนอความจริงทั้งหมด เพื่อให้เพื่อนสำคัญผิดบางประเด็น เปรียบได้กับแมวที่พยายามนอนให้ตรงอย่างไร ก็ยังคดคู้อยู่ดี บางคนเปิดตัวทักทายด้วยการยั่วยุให้เล่า ด้วยหมายที่จะล้วงข้อมูลจากฝ่ายตรงข้าม เพื่อประโยชน์ในเกมการพนัน ทั้งของตัวเองและนายหัว บรรยากาศเช่นนี้จะหวนกลับมาอีกครั้ง ในช่วงเย็นที่มีเบียร์ เหล้าขาวเป็นสื่อ แต่ใช้เวลาไม่นานเท่ากับช่วงเช้า เพราะต้องอาบน้ำวัว และประคบประหงมอื่น ๆ ต่อไป
อันที่จริงคณะวัวชนที่มาจากตำบลเดียวกัน พำนักอยู่บริเวณใกล้ ๆ กัน รวมทั้งนักเลงวัวเจ้าถิ่นแถบ ๆ อำเภอเมือง มีความสัมพันธ์กันมากกว่าการดูแลช่วยเหลือกันฉันเพื่อน แต่หมายถึงการอุปถัมภ์กัน เป็นทีมเดียวกันในเชิงการพนันด้วย เงินเดิมพันวัวแต่ละคู่ เป็นความรับผิดชอบของเจ้าของวัวก็จริง แต่โดยส่วนใหญ่เงินจำนวน ๘ หมื่นหรือ ๒ แสนไม่ได้เป็นของคนคนเดียวหรือสองคนเท่านั้น แต่เป็นของหุ้นส่วนหลาย ๆ คนในหมู่บ้าน ฝากมาลุ้นวัวชนที่ตนเองชื่นชอบ คนที่ไม่ได้มาก็ฝากมาเล่นด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เรียกให้เก๋ว่าเป็นผลึกของความสัมพันธ์ก็ได้
เดิมพัน ๒ แสนของวัวนิลเพชรหัวใจสิงห์ จึงรวมเอาเงิน "ลุง" คนที่เคยเลี้ยงมันด้วย นอกจากแกติดตามมาดูแลไม่ห่างแล้ว ยังมาเอาเดิมพันด้วยเช่นกัน ซึ่งเจ้าของคนใหม่บอกว่าต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน "เป็นน้ำใจ พึ่งพากัน วันหน้าวัวเขาชนเรา อาจต้องพึ่งพาอาศัยเขาบ้าง"
บรรยากาศการพนันขันต่อ ดูท่าว่าจะไปกันได้กลมกลืน กับกลิ่นอายความเชื่อ ไสยศาสตร์ในหมู่นักเลงวัว
ก่อนมหกรรมชนวัวเดือนสิบจะเริ่มหนึ่งวัน ต้นยางใหญ่หลังสนามยวนแหล ยังมีผ้าแดงเก่า ๆ ผืนเดียว พอวันรุ่งขึ้นปรากฏว่าผ้าสีพันเต็มไปหมด ในค่ำคืนก่อนจะทำการชน เจ้าของบางคนนิยมบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่นับถือสืบทอดกันมา ทั้งจากภูมิลำเนาเดิม และในบริเวณสนาม วัวใหม่ที่ลงชนในบ่อนครั้งแรก ก็จะมีหมอทำพิธีปลุกเสกให้ในคืนก่อนจะลงสนาม ซึ่งเป็นพิธีที่ปิดลับ ไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าไปยุ่งเกี่ยวเด็ดขาด
ชาวบ้านบางคนห้ามพระภิกษุ เข้ามาในบริเวณโรงวัว เพราะเชื่อว่าจะทำให้วัวของตนใจบุญ มีใจสงสารไม่ประหัตประหารคู่ต่อสู้เพื่อชัยชนะ บางคนไม่ยอมให้คนแปลกหน้าถ่ายรูปวัว กลัวเอาไปสักเลขลงยันต์ให้แพ้ และด้วยชื่อของมัน "ปลาไหล" ซึ่งโดยธรรมชาติไม่ได้มีชื่อเสียงด้านการต่อสู้เลย แต่ก็ถูกเอาเลือดผสมข้าวสุก นำไปพอกที่ปลายเขาวัว เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้วัวของตน ทิ่มแทงคู่ต่อสู้อย่างได้ผลจนเลือดไหล
ใกล้วันชน ทีมงานของ "ไอ้นิล" ช่วยกันลงขมิ้นบริเวณหัว หนอก และลำตัวส่วนต้น ๆ ทุกเย็น นัยว่าเพื่อให้ทนทานต่อคมเขาคู่ต่อสู้ เขาทั้งสองข้างก็อาบด้วยน้ำผึ้งผสมยาดำ จนมันวาวให้ทนทานเช่นกัน จนวันสุกดิบก่อนทำการชนในวันรุ่งขึ้น ไอ้นิลรวมทั้งโคถึกทุกตัว จะถูกลับปลายเขาแต่งให้แหลมด้วยกระจก ขัดกระดาษทราย แล้วปกปิดยอดไว้อย่างดีด้วยพลาสติกล็อกเขา
นับจากนาทีนี้ บริเวณภายในคอก จะกลายเป็นเขตปลอดบุคคลภายนอกโดยเด็ดขาด เขาพูดเสียงเรียบและห้วนว่า "วันนี้วันสำคัญ วัวอาบน้ำแล้วจะไม่ให้ใครเข้าในโรง"
0 comments:
Post a Comment